ลองไล่ตาม step แบบฝึกภาษาทั่วไปนะคะ ฟัง พูด อ่าน เขียน จขบ.ขอมาทำสรุปและแชร์ให้ทุกคนลองดูค่ะ
ฟัง ฟัง ฟัง ฟัง:
4 ways to understand what you hear
โดย JamesESL English Lessons ของ engVid ค่ะ
Tips : คลิกที่ คำบรรยาย ตรงมุมขวาล่าง ของหน้าจอ youtube เพื่ออ่าน คำบรรยาย (ซับไตเติ้ล) ถ้ายังฟังไม่รู้เรื่อง เหมือนจขบ. เป็นต้น XD
คุณครู James ให้เทคนิคในการฟังได้ดีขึ้น มีทั้งหมด 4 ขั้นตอนค่ะ
1. Don't think just listen เหตุผลง่ายๆ คือ เราไม่สามารถเข้าใจทั้ง 2 ประโยคพร้อมๆกันได้ หมายความว่า เรากำลังคิดในหัวเป็นประโยคหนึ่ง (ภาษาถิ่นเรานั่นเอง) พร้อมๆกับฟัง eng อยู่อีกประโยค
2. Ask question พอเราฟังไปนานๆ เราก็เริ่มจะล้า และง่วงตามลำดับ จนไม่สามารถมีสมาธิพอจะรับฟังได้ ครูเจมส์บอกว่าเราควรจะมีเบรค ให้สมองได้ fresh (กลับมาสดชื่น) พร้อมจะฟังอีกครั้ง (เหมือนเวลาเรานั่งเรียนหนังสือเลย)
3. Home practice เช่น เปิดดูหนัง โดยไม่มีซับไตเติ้ล หรือไม่ก็ replay ซัก 2-3 ประโยคซัก 3 ครั้ง ทำความเข้าใจแล้วเขียนทุกประโยค แล้วค่อยดูเฉลย (เปิดซับไตเติ้ล) ครูบอกว่า เราจะค้นพบ missing words ที่เราฟังไม่ออก (อาจจะเป็นศัพท์ใหม่ๆที่ไม่เคยเจอมาก่อน) เราก็จะได้เรียนรู้ และฟังมันออกในโอกาสต่อไป สุดยอด เยี่ยมจริงๆ
4. Closed your eyes แล้วฟัง อาจจะเป็นหนังที่ฝึกไปใน Home practice แล้วกลับมาฟังใหม่
ครูบอกว่าข้อ 3-4 ถ้าได้ฝึกแล้ว 1-2 จะเป็นอะไรที่ง่ายมากๆ
Home practice นี่สามารถเลือกได้ตั้งแต่หนัง ซีรีย์ สื่อต่างๆได้
โดยอาจจะเริ่มต้นที่
1. kids movies สามารถเข้าใจสิ่งที่ฟังโดยการดูรูปง่ายๆเลย
2. TV program น่าจะหมายถึง ซีรีย์ ครู James แนะนำเรื่อง friends (เป็นเรื่องที่หลายๆคนใน pantip.com แนะนำสำหรับฝึกภาษา )
3. Action movies , Drama , Dark comedies
อีกเทคนิคหนึ่งที่จะพอบอกว่า มักจะเป็นประโยคสำคัญๆที่เราควรจะฟังให้เข้าใจ คือประโยคที่มีคำว่า never,always ,must,should หรือ most,best ก็ได้
พูด พูด พูด พูด :
3 tips for sounding like a native speaker
โดย English Lessons with Adam ของ engVid ค่ะ
(คลิปนี้มี transcript ให้ด้วยค่ะ อย่าลืมกดอ่านกันนะคะ)
เบื้องต้น ครู Adam ก็บอกเลยว่า เป็นอะไรที่ต้องใช้เวลาฝึกกันสุดๆไปเลย ให้อดทนแล้วฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝนกันค่ะ
1. connect words
นี่ไม่ใช่คำเชื่อมนะคะ แต่เป็น...การเชื่อมคำ ครู Adam บอกว่าเวลาพูดเร็วๆ ฝรั่งจะพูดรวบคำกัน
Consonant กับ Consonant (Consonant = พยัญชนะ) เช่น b,c,d,f,g , ฯลฯ ( ส่วน Vowels = เสียงสระ) เช่น a,e,i,o,u )
- ถ้าตัวอักษรลงท้ายกับขึ้นต้นเป็นพยัญชนะเดียวกัน ให้ตัดตัวท้ายทิ้งไป
เช่น black coffee => ตัด ke ออก เวลาออกเสียงจริงจะเป็น bla coffee
- t กับ d ถึงจะออกเสียงไม่เหมือนกัน แต่เวลาพูดเร็วๆมันจะออกมาเกือบจะเป็นรูปแบบเดียวกัน เลยใช้ตัดแทนกันได้ เช่น what do you do? => wha do you do? และจะไม่ออกเสียง o กันเท่าไร แต่จะใช้ e แทน ดังนั้นเราจะออกเสียงเป็น wha de you do
Consonant กับ Vowels ครูอดัมบอกให้เรา roll in (ประมาณว่ารวมคำ)
เช่น Not at all => no ta tall
ดูยากๆนะ ทั้งนี้นอกจะฝึกออกเสียงแล้วก็ให้ฝึก listening แล้วลองแยกเป็นคำๆดูค่ะ
2. squeeze words
บางทีเราจะไม่ออกเสียงทีละพยางค์ไล่ตามทุกตัวอักษรค่ะค่ะ
เช่น comfortable => เด็กๆหลายๆคนในห้องเรียนครู Adam (และฉันเอง) จะอ่านเป็น com-fort-ta-ble
แต่เราจะออกเสียงโดยการตัด or ไปค่ะ และเปลี่ยน e ตัวท้าย ออกเสียง i แทนเล็กๆด้วย ดันนั้น comfortable จะออกเสียงเป็น com-ta-bil ค่ะ
interesting => in-chre-sting
ถ้าเราต้องการเน้นความสำคัญของคำนั้นๆ ฝรั่งจะออกเสียงเน้นไล่ทีละพยางค์ค่ะ (ชัดเจน) เช่น " Oh,that is very in-ter-rest-ting"
every => e-vry
3. squeeze letters
tr เราจะออกเสียงเป็นกับ chrเช่น country => con-chry
dr เราจะออกเสียงเป็น jr
เช่น hundred => hun-jred
พอเราเอาข้อ 1 กับ 3 มารวมกัน เช่น Did you? => di jou?
ฝึกบ่อยๆให้เป็นนิสัย เพราะการพูดมันออกมาเลยตามความเคยชินไม่ได้นึกไปพูดไป ครู Adam บอกให้เราหัดฟังบ่อยๆไม่ว่าจะเป็น sitcom,tv program,TED,radio ฯลฯ หรือจะฝึกออกเสียง ผ่าน web engVid ก็ได้ มี lesson pronunciation โดยเฉพาะค่ะ
แล้วจะมา update เรื่อยๆค่ะ เนื่องจาก จขบ.เป็นมือใหม่หัดแปล หากแปลผิดพลาดประการใด รบกวนช่วยบอกกล่าวกันหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น